เทศน์เช้า วันที่ ๒๐ พฤษภาคม ๒๕๕๙
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี
อ้าว! ตั้งใจฟังธรรมะเนาะ เราขวนขวายมา วันนี้วันสำคัญทางพระพุทธศาสนา วันนี้เป็นวันวิสาขบูชาไง ถ้าวันนี้เป็นวันวิสาขบูชา เป็นวันเกิดของเจ้าชายสิทธัตถะ เพราะเจ้าชายสิทธัตถะเกิดขึ้นมาวันนี้เพราะมีพระโพธิสัตว์ พระโพธิสัตว์คือผู้ที่ทำคุณงามความดี ผู้ที่ทำคุณงามความดีปรารถนาเป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
เวลาคนเกิดมาๆ เห็นบุญกุศล เห็นคนทำคุณงามความดีแล้วเราอยากทำๆ เขาเรียกว่าพระโพธิสัตว์ๆ พระโพธิสัตว์ทำบุญกุศลของเรา ทำแล้วทำเล่า เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะสร้างแต่คุณงามความดีไง ถ้าสร้างแต่คุณงามความดี คุณงามความดีนั้นหล่อหลอมหัวใจดวงนั้น หล่อหลอมให้ใจดวงนั้นคิดแต่เรื่องดีๆ ไง ดูสิ เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นพระโพธิสัตว์นะ เวลาเกิดเป็นกวาง เกิดเป็นกวาง เกิดเป็นลิง เกิดเป็นต่างๆ ท่านก็เคยเกิด อยู่ในพระโพธิสัตว์ ดูสิ ในพุทธประวัติ เวลาท่านเกิดขึ้นมาท่านเป็นหัวหน้าสัตว์ ท่านเป็นหัวหน้า ท่านพาหมู่สัตว์นั้นให้พ้นจากนักล่า ท่านพาฝูงกวางให้พ้นจากนักล่า นักล่าจะล่ากินเนื้อ ท่านพาหลบพาหลีก นี่พระโพธิสัตว์ๆ เกิดมาแล้วทำคุณงามความดีไง
วันนี้วันเกิดของเจ้าชายสิทธัตถะ วันเกิดของพระโพธิสัตว์ พระโพธิสัตว์เกิดขึ้นมาแล้ว เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า คุณงามความดี พวกเราเกิดมามีคุณงามความดี เกิดมาเพราะคนมีบุญกุศล แต่มันก็มีทุกข์มียากในหัวใจไง ดูสิ พระเจ้าสุทโธทนะเลี้ยงดูกล่อมเกลี้ยงไว้ จะเป็นกษัตริย์นะ จะเป็นจักรพรรดิ จะเป็นผู้ครองอาณาจักร เลี้ยงดูอย่างดีเลย แต่ด้วยอำนาจวาสนาของท่าน ท่านไปเที่ยวสวน เห็นคนเกิด ถามมหาดเล็กว่านั่นอะไรน่ะ เห็นคนแก่ เห็นคนเจ็บ เห็นคนตาย มันมหัศจรรย์ มหัศจรรย์เพราะอะไร เพราะพระเจ้าสุทโธทนะพยายามนะ ถ้าใครมาเลี้ยงมาดูแล แก่เฒ่า เปลี่ยนออกๆ จะไม่ให้เห็นคนเกิด คนแก่ คนเจ็บ คนตายไง เพราะว่าพราหมณ์พยากรณ์ไว้ๆ เป็น ๒ ทาง ทางหนึ่งถ้าออกบวชจะเป็นศาสดา ถ้าครองราชย์จะเป็นจักรพรรดิ พระเจ้าสุทโธทนะก็ดูแลขนาดนั้น ดูแลขนาดนั้น
เขาเลี้ยงดูมา พยายามเต็มที่จะให้เป็นจักรพรรดิๆ แต่ก็ด้วยอำนาจวาสนาของท่าน ด้วยอำนาจวาสนาของท่านไปเห็นคนเกิด คนแก่ คนเจ็บ คนตาย มันสะเทือนใจ ถามเลยว่าเราต้องเป็นอย่างนั้นด้วยหรือ เราต้องเป็นอย่างนี้ด้วยไหม ถ้าเราต้องเป็นอย่างนี้ ถ้าเราเสวยชาติขึ้นไป เราเสวยเป็นจักรพรรดิขึ้นไป เราก็ต้องทุกข์ต้องยากไง ถ้าต้องทุกข์ต้องยาก ดูสิ ถ้าต้องทุกข์ต้องยาก เขาบอกเป็นการเห็นแก่ตัวๆ
ถ้าไม่เห็นแก่ตัวมันก็ทุกข์ด้วยกันอยู่นี่ไง ดูสิ เวลาเราส่งลูกไปเรียนเมืองนอกกัน ลูกมันเห็นแก่ตัวไหม เราส่งลูกไปเรียนเมืองนอกเพื่ออะไร ก็เพื่อให้มีการศึกษา เราส่งลูกของเราเพื่อหาประสบการณ์ขึ้นมา เพื่อกลับมา เพื่อมาปกครองมาดูแลไง
นี่ก็เหมือนกัน ในเมื่อคนเกิด คนแก่ คนเจ็บ คนตาย ถ้ามันจะพ้นจากการเกิด การแก่ การเจ็บ การตายมันต้องแสวงหา ถ้ามันแสวงหา ท่านถึงได้เสียสละของท่านไป ความเสียสละนี้ไม่ได้เสียสละเพื่อความเห็นแก่ตัว ความเสียสละนี้เสียสละเพื่อสังคมโลก เพื่อจักรวาล เพื่อ ๓ โลกธาตุ แต่ท่านเสียสละองค์เดียวไง แต่ท่านไปทำของท่าน ๖ ปีก็วันนี้อีกแหละ เพ็ญเดือน ๖ ท่านไปทำทุกรกิริยามาพอแรงของท่านแล้ว
เวลาบวชไปแล้ว ไอ้นั่นก็เป็นศาสดา ไอ้นี่ก็เป็นศาสดา ก็ไปศึกษามากับเขาทั้งนั้นน่ะ ศึกษาแล้วเขาก็ชื่นชมทั้งนั้นน่ะ เพราะถ้าใครมีลูกศิษย์ แล้วลูกศิษย์ประพฤติปฏิบัติจนสุดวิชาของเขา ทุกคนก็ต้องชื่นชมลูกศิษย์ของตนเป็นธรรมดา แต่เวลาชื่นชมแล้วท่านก็ยังมีความทุกข์อยู่น่ะ อาจารย์ของเขา เขาสอนจนหมดวิชาการของเขาแล้ว แต่เรายังแก้กิเลสไม่ได้ แต่เรายังแก้การเกิด การแก่ การเจ็บ การตายไม่ได้ มันมีความวิตกกังวลลึกๆ ในหัวใจ ท่านถึงได้ละทิ้งเข้ามาหมดไง แล้ววันนี้มาฉันอาหารของนางสุชาดา แล้วนั่งประพฤติปฏิบัติไง มันถึงสำคัญไง
ว่าวันสำคัญทางพระพุทธศาสนาๆ ถ้าไม่มีองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ศาสนามันจะเกิดมาได้อย่างไร เอกํ นาม กึ หนึ่งไม่มีสอง ผู้ที่จะประพฤติปฏิบัติ ๔ อสงไขย ๘ อสงไขย ๑๖ อสงไขย คำว่า อสงไขยๆ เราพูดเน้นย้ำแล้วย้ำอีก เพราะอะไร นั่นมาจากความคุณงามความดีทั้งนั้นน่ะ คุณงามความดีมันส่งต่อให้เป็นคุณงามความดีต่อเนื่องกันมา แล้วคุณงามความดีพัฒนาการขึ้นมาให้มันดีมากขึ้นๆ จิตใจของคนถ้าคิดแต่คุณงามความดี พันธุกรรมของจิตๆ จิตบางคนคิดแต่เรื่องดีๆ มันตัดแต่งแต่เรื่องดีๆ นะ
เราดูสิ สังคมที่ดี เราอบอุ่นนะ เราอยู่สังคมที่เขาคิดของเขา พันธุกรรมของเขา เห็นแก่ตัวของเขา เขาเบียดเบียนเรา เราอยู่ที่ไหนเราก็ระแวงไปหมด พันธุกรรมของจิตๆ อารมณ์ความรู้สึกของเรามันตัดแต่งๆ มันเกิดแล้วเกิดเล่า มันจะมีอำนาจวาสนามา ไปศึกษากับเจ้าลัทธิต่างๆ เจ้าลัทธิต่างๆ ก็ชื่นชมไปทั้งนั้นน่ะ ท่านไม่เชื่อ
ไอ้อย่างพวกเรานะ ทำประชาสัมพันธ์ตัวเองทั้งนั้นน่ะ อยากมีชื่อเสียง อยากดังอยากใหญ่ นี่ขนาดเขาชื่นชมท่านยังปฏิเสธเลย ปฏิเสธว่าเรามาค้นคว้าสัจจะความจริง
ถ้าสัจจะความจริงอันนี้ วันนี้เวลาท่านตรัสรู้ธรรมขึ้นมา บุพเพนิวาสานุสติญาณ เวลาจิตมันสงบเข้าไปแล้ว ถ้าคนภาวนายังไม่เป็น มันเข้าไปข้อมูล ๔ อสงไขย ๘ อสงไขย ๑๖ อสงไขย ท่านรู้ท่านเห็นของท่าน ท่านรู้ท่านเห็นของท่านด้วยกำลังญาณของท่าน ด้วยกำลังญาณของท่าน ด้วยกำลัง ใครทำสมาธิเข้าไปแล้วมันจะย้อนอดีตชาติเข้าไป ย้อนอดีตที่มันเคยเกิด จิตดวงนี้มันเคยเกิดในวัฏฏะ มันเคยเกิดในวัฏฏะ ๔ อสงไขย ๘ อสงไขย ๑๖ อสงไขยนั่นน่ะ ถ้ามันมีญาณหยั่งรู้เข้าไปในจิตดวงนั้น ญาณหยั่งรู้มันเป็นพลังงาน มันไม่ใช่ปัญญา มันเป็นพลังงานเข้าไปท่านก็ไปรู้ของท่าน ไม่มีต้นไม่มีปลาย ท่านก็ดึงกลับ มีสติปัญญาดึงกลับมาๆ
พอทำสงบให้มากขึ้นนะ จุตูปปาตญาณ ถ้าจิตดวงนี้ยังไม่สามารถชำระกิเลสได้ มันต้องเกิดของมัน เกิด แก่ เจ็บ ตายมันต้องเกิดของมัน เพราะมันมีพลังงานของมัน มันมีเวรมีกรรมของมัน คนเราเกิดโดยกรรม คนเราเกิดโดยการกระทำ มีพลังงาน พลังงานนี้มันสร้างคุณงามความดีมันก็เกิดดี พลังงานอันนี้มันสร้างความชั่วมันก็เกิดชั่ว ความดี ความชั่วมันพลังงานของจิตดวงนั้น
ฉะนั้น ความลับไม่มีในโลก จิตดวงนี้ใครทำสิ่งใด เวรกรรมมันให้ มโนกรรมๆ มันเกิดจากจิตดวงนั้นไง นี่พันธุกรรมๆ มันเป็นอย่างนี้ไง ถ้าคิดแต่เรื่องดีๆ มันก็ตัดแต่งที่ดี มันคิดแต่เรื่องดีๆ ไง แต่มันคิดเรื่องเลวร้ายมันก็ตัดแต่งให้มันเป็นเรื่องจิตที่เลวร้าย มันเป็นเวรเป็นกรรมของจิตดวงนั้นไง มันไม่มีใครกระทำให้ไง มันเป็นสัจจะ มันเป็นความจริงไง แล้วองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านมาระลึกเห็นของท่านไง ท่านดึงกลับมา
เวลามันเข้าถึงมรรคถึงผล อาสวักขยญาณ มันเป็นศีล สมาธิ เป็นปัญญา เพราะจิตมันสงบ บุพเพนิวาสานุสติญาณ จิตมันสงบ แต่มันไม่มีปัญญา มันไปโดยกำลัง ไปด้วยบุญกุศล บุญกุศลมันย้อนกลับไป แล้วถ้าไปโดยอกุศลล่ะ อกุศลก็อย่างที่เป็นๆ กันอยู่นี่ไง ไสยศาสตร์นี่ไง พอสงบแล้วรู้นั่นรู้ รู้สัพเพเหระ ไม่มีหลักฐาน ไม่มีสัจจะ ไม่มีความจริงสิ่งใดเลย นี่ไง นั่นเป็นมิจฉา
ถ้าเป็นสัมมา เป็นสัจจะเป็นความจริงของท่าน แต่ความจริงของท่าน ท่านรู้แล้วมันก็แก้กิเลสไม่ได้ จุตูปปาตญาณ ถ้ามันเป็นไป จิตมันมีเวรมีกรรมของมัน มันก็ต้องเป็นไปตามนั้น ถ้าเป็นไปตามนั้นมันก็ไปของมัน แล้วเวลาย้อนกลับมา ดึงกลับมาๆ สู่ภวาสวะ สู่ภพ สู่จิตของตน สู่จิตของตน เวลาเกิดอาสวักขยญาณ อาสวักขยญาณคืออะไร เพราะความมืดบอด เพราะความไม่รู้มันถึงเกิด เพราะความไม่รู้สึกตัวตน ไม่รู้สึกเรามันถึงไป แล้วกลับมาถึงตัวของมัน มันชำระตัวของมัน ถ้ามันรู้ มันรู้อะไรล่ะ
รู้นี่คือวิชชาไง รู้วิชชาคือมันเปิดตาในไง เปิดตาใน ถ้าเราเปิดตาใน เรารู้จักตัวเราไหม ตัวตนของตนรู้จักตัวตนไหม ตัวตนของตนยังหาตัวตนของตนไม่เจอ ทำสมาธิกันไม่เป็น ตัวตนของตนยังไม่รู้จัก รู้จักแต่ชื่อเสียงที่พ่อแม่ตั้งให้ รู้จักแต่สถานะที่กรมการปกครองรับรอง รู้แต่เรื่องโลกๆ ไม่รู้เรื่องความจริงของตน ถ้ารู้เรื่องความจริงของตนมันจะย้อนกลับมานี่ไง ถ้าย้อนกลับมา นี่มันสำคัญ สำคัญตรงนี้ สำคัญที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรม ถ้าตรัสรู้ธรรม มันสว่างกระจ่างแจ้ง
สิ่งที่ว่าเห็นคนเกิด คนแก่ คนเจ็บ คนตาย พอมันชำระล้าง มันสำรอกมาแล้ว เออ! ไม่เกิด ไม่เกิดอีกแล้ว ไม่เกิดมันก็ไม่มีแก่ ไม่มีแก่มันก็ไม่มีเจ็บ ไม่มีเจ็บมันก็ไม่มีตาย เพราะมันไม่ไปเกิด มันไม่ไปเกิดอีกแล้ว
ที่ว่าไปเที่ยวสวนเห็นคนเกิด คนแก่ คนเจ็บ คนตาย เราต้องเป็นเช่นนี้หรือ เราต้องเป็นเช่นนี้หรือ มันต้องมีตรงข้ามสิ ตรงข้ามสิ ถ้ามีตรงข้าม ท่านถึงออกบวช ออกบวชด้วยธรรมดา คนเราขนาดสร้างบุญกุศลขนาดนั้นก็ยังไปศึกษากับเจ้าลัทธิต่างๆ อีก ๖ ปี ทำทุกรกิริยาที่สังคมเขายังทำกันอยู่ ในปัจจุบันอินเดียยังทำกันอยู่ ไอ้บูชาไฟๆ นั่นแหละ ที่บูชาไฟนั่นน่ะ ทำทุกรกิริยานั่นน่ะ เขายังทำกันอยู่จนป่านนี้ แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไปทดสอบแล้วทิ้งไว้หมดเลย ทดสอบแล้ว แล้วทิ้ง มันไม่มีคุณค่าอยู่จริง แล้วเวลาคุณค่าอยู่จริงเกิดจากมรรคไง เกิดจากภาวนามยปัญญา
พระพุทธศาสนาสำคัญ พวกเราสำคัญตนกันว่าพระพุทธศาสนาสำคัญมาก พระพุทธศาสนามีความเจริญรุ่งเรืองมาก พระพุทธศาสนามีคุณค่ามาก มันมีค่าอยู่ตรงนี้ไง มีคุณค่าอยู่ที่สัจธรรมอันนี้ไง มีคุณค่าที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากราบธรรมๆ นี่ไง แล้วธรรมจดจารึกไปในพระไตรปิฎกไง เราก็ไปกราบตู้พระไตรปิฎกกันอีกไง เวลาเปิดพระไตรปิฎกออกมา ศึกษามาแล้ว แล้วก็มาคะมาคานกันไง
ศึกษามาแล้ว เขาศึกษามาให้ปฏิบัติ เราศึกษามาแล้วเราเม้มปากไว้ เม้มปากไว้แล้วเราเข้าทางจงกรม นั่งสมาธิภาวนา ฝึกหัดให้มันเป็นของเราขึ้นมา เวลามันเป็นของเราขึ้นมานะ ทางทฤษฎี ทางชื่อทางวิชาการ ทุกคนศึกษาแล้วมันก็ยังมหัศจรรย์ขนาดนั้น แล้วเวลามันเกิดในหัวใจของตนเอง มันเกิดในหัวใจของตนเองมันเป็นปัจจัตตัง มันเป็นสันทิฏฐิโก มันเกิดขึ้นมาที่นี่ไง ถ้ามันเกิดที่ในใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
นี่ไง วันนี้วันวิสาขบูชาที่มาทำบุญกุศลกันอยู่นี้ สิ่งที่เราเห็น ที่เห็นเรื่องระดับของทาน มันมาจากไหนล่ะ มันมาจากหัวใจของเราไง หัวใจของเรา เราเกิดมาเป็นมนุษย์ เกิดมาพบพระพุทธศาสนาไง เรามีศรัทธามีความเชื่อ เราถึงได้มาเสียสละทานกันอยู่นี่ เสียสละเพื่อเหตุใด เสียสละทานให้กับพันธุกรรมของจิต พันธุกรรมของจิตของเรานี่ไง
ก่อนที่ไทยทานมันจะมาอยู่นี่ ใครเป็นคนหามันมา ใครเป็นคนตั้งใจ ใครเป็นคนแสวงหา ขณะที่ตั้งใจ ขณะที่กระทำ ขณะที่แสวงหานั้นน่ะ จิตใจของมันได้กลมกล่อม จิตใจมันได้บ่มเพาะของมัน ถ้าบ่มเพาะของมัน เราจะไปไหน เราไปทำบุญ ทำบุญที่ไหน ทำบุญที่บริษัท ๔ ไง ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา
ภิกษุ ภิกษุณีเป็นผู้เสียสละความใช้ชีวิตทางโลกมาใช้ชีวิตนักพรตนักบวชไง มาใช้ชีวิตศากยบุตรพุทธชิโนรสไง เป็นบุตรขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไง เป็นผู้ที่ไม่มีอาชีพไง เป็นผู้ที่พยายามขวนขวายเลี้ยงตนด้วยปลีแข้งไง เลี้ยงตนด้วยปลีแข้งแล้วประพฤติปฏิบัติขึ้นมา สัจจะพยายามค้นคว้า พยายามหาคุณงามความดีของเราไง หาสัจจะความจริงอันนี้เกิดขึ้นมาในใจของเราไง
หลวงตาท่านพูดบ่อย ถ้าพระไม่ทรงศีลทรงธรรม ใครจะทรง ถ้าพระไม่ประพฤติปฏิบัติขึ้นมาให้มันมีคุณธรรมในใจ ใครจะทำ แล้วถ้ามันทำขึ้นมา ที่เรามาวัดๆ กัน เรามาวัดป่าๆ วัดป่าเป็นวัดที่ประพฤติปฏิบัติไง เห็นไหม เรามา เราไม่มีพิธีกรรมสิ่งใดๆ ทั้งสิ้น คำว่า พิธีกรรม นั้นมันเป็นศาสนพิธี มันเป็นเรื่องวัฒนธรรม ถ้าเรื่องวัฒนธรรม วันนี้วันสำคัญทางศาสนา เขาก็ต้องอยู่ที่วัฒนธรรมประเพณี พยายามสร้างสมอย่างนั้นขึ้นมา อย่างนั้นเราเอาไว้ฝึกหัด ฝึกหัดผู้ที่เข้ามาใหม่ไง ต้นไม้มันมีเปลือก มีแก่น มีกระพี้ไง ถ้าเราเป็นเปลือก เราเป็นกระพี้ มันก็ต้องมีวัฒนธรรมเพื่อชักจูงกันไง
แต่ถ้าเราจะเป็นแก่นๆ เป็นแก่นเราต้องมีน้ำใจต่อกัน ผู้ที่มาแล้ว เราจะทำเพื่อประโยชน์ เพื่อประโยชน์สังคม แค่มีน้ำใจต่อกันไง เราหลีกทางให้กัน เราอยู่ร่วมกัน ใครมีความจำเป็นก่อนให้ออกหน้า ใครมีจำเป็นหลังให้อยู่หลัง เรามีน้ำใจต่อกันไง อันนี้ก็เป็นทานนะ
เวลาไปแสวงหามา สิ่งที่แสวงหาเป็นเงินเป็นทองขึ้นมา บอกว่าเราไม่มีสิ่งนี้ เราจะเอาไปแข่งขันกับใครไม่ได้ แต่น้ำใจๆ เราเสียสละให้ เราหลีกทางให้ การหลีกทางให้ก็เป็นบุญ การเสียสละนี่ไง มันเป็นบุญกุศล
แล้วเวลาดูสิ เรามาอยู่วัดอยู่วากัน ผู้ที่มาประพฤติปฏิบัติ นั่งเฉยๆ เอาบุญมาจากไหน นั่งเฉยๆ นะ ทาน ศีล ภาวนา ทำทานร้อยหนพันหนไม่เท่ากับถือศีลบริสุทธิ์หนหนึ่ง มีศีลบริสุทธิ์ร้อยหนพันหนไม่เท่ากับทำสมาธิได้หนหนึ่ง ทำสมาธิได้ร้อยหนพันหนไม่เท่ากับเกิดภาวนามยปัญญาขึ้นมาหนหนึ่ง
ทำสมาธิร้อยหนพันหน ถ้าจิตมันสงบแล้วร้อยหนพันหน ถ้ามันเกิดภาวนามยปัญญาขึ้นมา แล้วภาวนามยปัญญาขึ้นมาเกิดจากไหนล่ะ เกิดจากในปัจจุบันนี้ก็เกิดจากหลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นท่านเป็นคนรื้อค้นขึ้นมา หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นท่านรื้อค้นขึ้นมาแล้วท่านมีหลักมีเกณฑ์ของท่าน เวลาท่านสั่งสอนลูกศิษย์ๆ ใครจะมีปัญญาอย่างไร โลกียปัญญา ปัญญาทางโลกไง ถ้าเป็นปัญญาทางธรรมล่ะ ปัญญาทางธรรมมันถอนทิฏฐิมานะ ถอนความสำคัญตน
ครูบาอาจารย์ของเราท่านประพฤติปฏิบัติเข้าป่าเข้าเขานะ หลวงตาท่านพูดประจำ แล้วเราก็มาพูดบ่อยๆ มากเลยว่าหลวงปู่มั่นท่านอยู่ป่าอยู่เขาของท่าน ถ้าพูดถึงทางโลกเหมือนเศษคน คนคนหนึ่งไปอยู่ป่าอยู่เขาเหมือนสัตว์ตัวหนึ่ง ไม่มีค่าสิ่งใดๆ เลย ถ้าพูดถึงทางโลก เศษคน ถ้าพูดถึงทางธรรม นั่นแหละศากยบุตรพุทธชิโนรส นั่นแหละบุตรขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
เวลาบวชขึ้นมา เวลาไปบวช เกสา โลมา นขา ทันตา ตโจ ให้อยู่ รุกฺขมูลเสนาสนํ มันรุกขมูล อยู่โคนไม้ อยู่ในที่สงบสงัด นั่นแหละศากยบุตร นั่นแหละพุทธชิโนรส นั่นแหละยอดคน กลางค่ำกลางคืนขึ้นมา เทวดา อินทร์ พรหมมาฟังเทศน์จนไม่มีเวลาว่าง
มนุษย์ขี้เหม็น เทวดาจะมาหาไหม แต่ท่านมีเทวดา อินทร์ พรหมมาขอความเห็น คือฟังเทศน์ ฟังเทศน์คือขอแสงสว่าง แสงสว่างคือสัจธรรมที่จะเข้ามาหาตัวตน เทวดาเขาก็ส่งออก เขาไม่คิดถึงจิตใจของเขา เวลาหลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นท่านเทศน์ท่านก็เทศน์ย้อนกลับมา
มนุษย์เราก็เหมือนกัน เรื่องเศรษฐกิจ เรื่องทางโลก อันนั้นมันเป็นปัจจัยเครื่องอาศัยนะ ทุกคนต้องมีหน้าที่การงาน นี่เป็นเรื่องปกติ เรื่องธรรมดา แต่สัจธรรมมันหล่อเลี้ยงหัวใจนะ อย่าให้มันทุกข์ยากจนเกินไปนัก หน้าที่การงาน เราก็ต้องแข่งขันอยู่แล้วแหละ แต่แข่งขันด้วยธรรมาภิบาลไง แข่งขันนะ ถ้ามันจะไม่ได้ มันจะถึงไม่เป็นผล อันนั้นเราก็พยายามของเราแล้ว
นี่ไง พันธุกรรมของจิตๆ เราตัดแต่งให้มันดีขึ้น ให้มันเข้มแข็งขึ้น ถ้ามันเข้มแข็งขึ้น เรามีสติปัญญามากขึ้น ถ้าเข้มแข็งขึ้น มันเกิดสิ่งใดขึ้น มันจะมีสติปัญญาเอาตัวรอดได้ ถ้าเอาตัวรอดได้ เอาตัวรอดแล้วเรายังวิเคราะห์วิจัยเหตุที่เกิดขึ้นได้ทะลุปรุโปร่ง เพราะอะไรล่ะ เพราะพันธุกรรมของจิต พันธุกรรมของจิตอันนั้น เพราะพันธุกรรมของจิตอันนั้นมันถึงเกิดบุญกุศลอันนั้น เพราะบุญกุศลอันนั้นมันเกิดอินทรีย์ อินทรีย์คือมีสติมีปัญญาขึ้นมาในหัวใจนั้น ถ้าในหัวใจนั้นมันพาให้จิตใจดวงนั้นไม่ทุกข์ไม่ยากจนเกินไปไง
สีเลน สุคตึ ยนฺติ สีเลน โภคสมฺปทา มีศีล ศีลทำให้สุขสงบไง สุขสงบระงับ ศีลทำให้เกิดโภคทรัพย์ ไม่กินเหล้าเมายา ไม่เล่นการพนัน ไม่ทำสิ่งใด เกิดโภคทรัพย์ เราไปมองข้ามกันไปหมดเลย ทำดีแล้วไม่ได้ดี ทำดีแล้วไม่ได้ดี
ทำดีก็ทำดีที่นี่ไง ทำดีในศีลในธรรมนี่แหละมันจะเกิดทรัพย์สินเป็นน้ำบ่อทราย มันจะเกิดขึ้นมาตลอดเวลากับชีวิตของเราไง ชีวิตของเรามันจะคงดำเนินต่อเนื่องไปไง นี่บุญกุศล วันสำคัญทางพระพุทธศาสนาๆ สำคัญอย่างนี้ ถ้ามันสำคัญขึ้นมาแล้วเราก็สำคัญ เพราะเราเกิดเป็นมนุษย์ เกิดมาพบพระพุทธศาสนา เกิดเป็นมนุษย์ เกิดมาเป็นคน คนเป็นสัตว์ประเสริฐๆ แล้วมันประเสริฐจริงหรือเปล่า ถ้ามันประเสริฐจริงมันก็ต้องรู้จักใจของมันสิ รู้จักใจของเราเองสิ รู้จักความเป็นอยู่ของเราสิ รู้จักทะนุถนอมหัวใจของเราที่มันบีบคั้น ที่มันเจ็บแสบ หน้าชื่นอกตรมนะ ไปไหนมาสบายดีทั้งนั้นน่ะ หน้าตารื่นเริง
ในสโมสรสันนิบาตทุกดวงใจว้าเหว่ การเกิดทั้งหมดทุกดวงใจอับเฉา จิตเดิมแท้นี้ผ่องใส ผ่องใสคู่กับเศร้าหมอง ความเศร้าหมอง ความกลัดหนองไง นี่อริยสัจ นี่เป็นความจริง ใครจะเถียง
แล้วเรามาทำไม เรามาสร้างบุญกุศลที่นี่ไง บุญกุศลก็เพื่อระงับความเศร้าหมอง ระงับไอ้ความทุกข์ใจนี่ไง เรามีคุณธรรมๆ ตรงนี้ไง สิ่งที่เราแสวงหามา แสวงหาเพื่อเราๆ นะ วันสำคัญทางศาสนานะ เราเกิดเป็นมนุษย์ เกิดมาพบพระพุทธศาสนา เรามีอำนาจวาสนามาก หลวงตาท่านเน้นย้ำ คนไม่มีอำนาจวาสนาไม่มีโอกาสนับถือศาสนาพุทธ ท่านพูดอย่างนี้ คนไม่มีอำนาจวาสนา ไม่มีโอกาสนับถือศาสนาพุทธ
ก็ดูลัทธิต่างๆ สิ เขาทำอะไรน่ะ อ้อนวอนขอเอาตามความเชื่อของเขา ไอ้นี่เราไม่มีเลย ทำกับมือ ทำกับมือทั้งนั้น ถ้าสมาธิภาวนาก็ทำขึ้นมาเอง เวรกรรมก็อยู่ในใจเราทั้งนั้น ถ้าเราทำขึ้นมา แต่พันธุกรรมของจิตๆ มันมีกรรมเก่ากรรมใหม่ไง กรรมเก่ากรรมใหม่ เราก็ต้องแก้ไขของเราไปไง
เวลามีสิ่งใดที่เกิดขึ้น เราปฏิบัติมาตลอด เราภูมิใจมาก เราจะเกิดวิกฤติขนาดไหนเราจะยิ้มเลย กูทำมา กูทำมาเอง เจอวิกฤติกูก็แก้ กูทำมา เวลาทำ ทำด้วยขาดสติ ทำด้วยความไม่รู้แต่ชาติไหนก็ไม่รู้ แต่ถ้ามันเกิดขึ้นมาแล้วจะไปตีโพยตีพายเอากับใคร จะไปตีโพยตีพายเอากับใคร ก็เราทำมา ก็เราทำมา
แต่ปัจจุบันนี้มีสติมีปัญญาแล้ว เราจะทำคุณงามความดีของเรา พระพุทธศาสนาสอนอย่างนี้นะ สอนอย่างนี้แล้วเราประพฤติปฏิบัติขึ้นมาแล้ว ถ้าเรารู้จริงขึ้นมาแล้วมันอาจหาญในหัวใจไง ไม่มีสิ่งใดปกปิดในใจนี้ได้เลย ไม่มีสิ่งใดปกปิดหัวใจนี้ได้ ไม่มี แล้วเราเป็นผู้ที่ประพฤติปฏิบัติ เราเป็นผู้ที่กระทำไง เราถึงมีความสำคัญไง
ฉะนั้น มันเพียงแต่ว่าจิตใจเราอ่อนแอไง จิตใจเราอ่อนแอ ทำสิ่งใดก็ทำแล้วล้มลุกคลุกคลาน ทำสิ่งใดก็เศร้าหมอง ทำสิ่งใด ตรงนี้แหละมันเป็นอุปสรรคของพวกเรา พวกเรามันอ่อนแอในหัวใจไง ยืนก็ไม่ได้ เดินก็ไม่เป็น แล้วก็ทำบุญได้บุญ ทำบุญได้บุญ แล้วได้บุญที่ไหนทำดีไม่เห็นได้ดี ทำดีไม่เห็นได้ดี
ได้ ดีของใคร ดีจริงๆ นะ ดีของหลวงปู่มั่น ดีที่ไม่มีโทษ ดีที่ไม่เบียดเบียนใคร ดีที่ไม่ทำให้ใครเดือดร้อน ดีที่ไม่เบียดเบียนใคร ดีที่ไม่มีโทษ นั้นเป็นดีเลิศ เอวัง